Sunday, June 15, 2008

น้ำมันกระฉูดดันยอดใช้ก๊าซพุ่ง “สุวิทย์” บี้ลด สรรพสามิตเอทานอลแจ้งเกิดอี 85

น้ำมันกระฉูดดันยอดใช้ก๊าซพุ่ง "สุวิทย์" บี้ลด สรรพสามิตเอทานอลแจ้งเกิดอี 85

นายเมตตา  บันเทิงสุข  อธิบดี กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย.คาดว่าบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) อาจต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มจาก ต่างประเทศอีกประมาณ 40,000 ตัน ในราคาตันละ 900 เหรียญสหรัฐฯและนำมาจำหน่ายในประเทศโดยที่ ปตท.ต้องรับภาระแทนประชาชนประมาณ 800 ล้านบาท สาเหตุที่ยอดการนำเข้าก๊าซหุงต้มของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะถูกนำไป ใช้ใน 3 ด้านคือ 1. ใช้ในภาคขนส่ง 2. ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และ 3. มีการลักลอบนำออกไป ตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นปัญหาที่กรมศุลกากรต้อง เข้มงวดกวนขันการลักลอบอย่างหนัก

 

นายเมตตากล่าวว่า สาเหตุที่ก๊าซหุงต้มถูกลักลอบออกไปขายในประเทศเพื่อนบ้านเพราะว่าราคาขายปลีกขนาดถัง 15 กิโลกรัมในไทยอยู่ที่ 290 บาท แต่หากลักลอบออกไปขายในประเทศเพื่อน บ้านจะมีราคาที่ 800 บาทต่อถัง อย่างไรก็ตาม ธพ. ได้ร่วมมือกับกรมศุลกากรตั้งหน่วยเฉพาะกิจสกัดการลักลอบส่งออกก๊าซหุงต้ม ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มข้น จึงเชื่อว่าการลักลอบส่งออกจะเริ่มลดลงในระดับหนึ่ง

 

"หาก รัฐบาลประกาศลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มสำหรับภาคขนส่งในเดือน ก.ค.เป็นต้นไป ก็จะทำให้ยอดการใช้ก๊าซหุงต้มแอลพีจีในรถยนต์ ลดลง เพราะรถยนต์ส่วนหนึ่งจะหันไปใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์หรือเอ็นจีวีแทน ซึ่งต้องรอดูว่า รัฐบาลจะลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มมากน้อยเพียงใด เพื่อให้เกิดส่วนต่างราคาให้คนหันไปใช้เอ็นจีวี โดย ขณะนี้ราคาเอ็นจีวีอยู่ที่ลิตรละ 8.50 บาท และก๊าซหุงต้มอยู่ที่ลิตรละ 10 บาท"

 

นาย ดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับ กิจการพลังงาน (เรกกูเลเตอร์) เปิดเผยถึงการพิจารณาค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) งวดใหม่ที่จะใช้ในเดือน มิ.ย.-ก.ย.นี้ว่า เรกกูเลเตอร์มีมติเห็นชอบการเรียกเก็บค่าเอฟทีอยู่ที่ 62.85 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลงจากงวดก่อนหน้า 6.01 สต./หน่วย ส่งผลให้ ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนรอบใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ 2.88 บาทต่อหน่วย ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับประชาชน เนื่องจากค่าไฟฟ้าถือเป็นส่วนหนึ่งของ ต้นทุนหลายชนิด ทั้งภาคการผลิต อุตสาหกรรมและ สินค้าเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน

 

ขณะ เดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้แจ้งว่าผู้ค้าน้ำมันได้แจ้งปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.โดยผู้ค้ารายอื่นๆ ยกเว้น ปตท. และบางจากได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมัน เบนซิน 50 สตางค์/ลิตร และดีเซล 80 สต./ลิตร ส่วน ปตท.และบางจากปรับขึ้นเฉพาะดีเซล 80 สต./ลิตร ส่งผลให้ราคาเบนซิน 95 ของเชลล์สูงถึง 42.39-43.39 บาท/ลิตร เอสโซ่ 42.09 บาท/ลิตร คาลเท็กซ์ 41.59 บาท/ลิตร ส่วนของ ปตท.และบางจากอยู่ที่ 41.59 บาท/ลิตร

 

ส่วนเบนซิน 91 รายอื่นๆที่ 40.99 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 ที่ 37.39 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 ที่ 36.59 บาท/ลิตร โดย ปตท.และบางจากขาย ถูกกว่ารายอื่น 50 สต./ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลรายอื่นๆอยู่ที่ 42.14 บาท/ลิตร ปตท.และบางจากถูกกว่า 80 สต./ลิตร อยู่ที่ 41.34 บาท/ลิตร ทั้งนี้ แม้จะปรับ ขึ้นราคารอบนี้แล้วแต่ปรากฏว่าค่าการตลาดน้ำมันของผู้ค่าน้ำมันก็ยังต่ำอยู่ ทำให้มีแนวโน้มว่าในระหว่างวันที่ 14-15 มิ.ย. นี้ผู้ค้าน้ำมันอาจปรับขึ้น ราคาขายปลีกเบนซินและดีเซลขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

 

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกฯและ รมว. อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเอทานอล 85 หรืออี 85 ตามมติ ครม.ว่า ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะมีรายละเอียดหลายอย่างที่ต้องขอความเห็นชอบ จากรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ทั้งจากกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังในเรื่อง ของประเภทชิ้นส่วนยานยนต์ที่เกี่ยวข้องกับอี 85 รวมถึงอัตราภาษีสรรพสามิตของเอทานอล ซึ่งทั้งหมดรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้ง 3 กระทรวง ควร ต้องตั้งโต๊ะหารือร่วมกันอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดนโยบายให้เกิดข้อยุติที่ชัดเจนเพื่อทำให้การส่งเสริมอี 85 เดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

"เรื่องอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับเอทานอล ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่จะช่วยดึงดูดให้คนหันมาใช้อี 85 ได้มากขึ้น แต่ปัจจุบันโครงสร้างภาษีน้ำมันอี 10, อี 20 หรืออี 85 ยังมีความลักหลั่นกันมาก หากกรมสรรพสามิตปรับภาษีอี 85 ให้เท่ากับอี 10 หรือคิดเฉพาะภาษีน้ำมันอย่างเดียวจะทำให้มีส่วนต่างเพิ่มขึ้นถึง 2.02 บาทต่อลิตร ก็จะยิ่งช่วยสร้างแรงดึงดูดให้มากขึ้น".

Tuesday, June 3, 2008

เปิดอู่รถประหยัดพลังงาน ชีวิคอวด CNG-ยุโรปฮิตรถ E85

เปิดอู่รถประหยัดพลังงาน ชีวิคอวด CNG-ยุโรปฮิตรถ E85
    ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงพุ่งทะยานไม่หยุด จนรัฐบาลไทยต้องออกมาตรการส่งเสริมให้มีการผลิตรถเอ็นจีวีและรถพลังงานอี 85 เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ โดยในเมืองไทยยังไม่มีการผลิตอย่างจริงใจ แต่ในต่างประเทศหันมาให้ความสนใจและพัฒนารถรุ่นใหม่เพื่อใช้พลังงานทางเลือก ใหม่ที่มีราคาถูกกว่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าน้ำมัน

        เริ่มที่ค่ายรถยนต์ฮอนด้าที่คนไทยแสนจะคุ้นเคย มีการผลิตรถยนต์นั่งอย่างซีวิค จีเอ็กซ์ ในเวอร์ชันพิเศษ ติดตั้งระบบก๊าซซีเอ็นจีมาจากโรงงานโดยตรง ซึ่งจะมีผลให้มีการเผาไหม้อย่างหมดจด จนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่ต่ำมาก เกือบถึง 0 % โดยเมื่อเทียบกับรถยนต์เบนซินทั่วไปที่วิ่งบนท้องถนน รถรุ่นนี้จะสะอาดกว่าถึง 90 % เลยทีเดียว และยังมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในระดับที่ประหยัดมากๆ ใครที่ขับซีวิคเห็นแล้ว คงน้ำลายหก อยากให้บริษัทในไทยสั่งมาขายคงต้องร้องเพลงรอไปก่อน เพราะฮอนด้า ซีวิค จีเอ็กซ์ ซีเอ็นจี มีขายเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่ แคลิฟอร์เนีย และนิวยอร์ก และได้การยกย่องจากสถาบันส่งเสริมการประหยัดพลังงานของสหรัฐฯว่าเป็นรถที่ สะอาดที่สุดของปี 2551 นอกจากนี้ ผู้ที่ซื้อรถรุ่นนี้ยังได้รับสิทธิ์พิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าคนทั่วไป ได้รับสิทธิ์วิ่งในเลนสำหรับรถประหยัดพลังงาน และเงื่อนไขอื่นๆอีกมากมาย

        ถัดจากฮอนด้าก็ถึงคิวของยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้า ที่พัฒนารถไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินทำงานประสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าออกมา จำหน่ายทั่วโลกจนโดนใจคนรักษ์ธรรมชาติ โดยรถรุ่นที่ขายที่สุดคือ โตโยต้า พริอุส ที่มีความโดดเด่นในด่านความประหยัดน้ำมัน 35.5 กม./ลิตร ซึ่งขณะนี้ขายไปกว่า 1 ล้านคันแล้ว ปัจจุบัน พริอุส มีจำหน่ายอยู่มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก และเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดประเทศญี่ปุ่น และอเมริกาเหนือ โตโยต้า พริอุส เริ่มการแนะนำเข้าสู่ตลาดประเทศญี่ปุ่น ในปี 2540 และมีการจำหน่ายในทวีปยุโรป และอเมริกาเหนือ รวมถึงตลาดประเทศอื่น ๆ ในปี 2543 จนกระทั่งในปี 2548 บริษัทโตโยต้าฯ มีการประกอบรถยนต์โตโยต้า พริอุส นอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ที่เมืองชางชุน ประเทศจีน และมีแผนที่จะทำการจำหน่ายโตโยต้า พริอุสในประเทศเกาหลีใต้ ในครึ่งปีหลังของปี 2552

        โตโยต้าได้พยายามที่จะส่งเสริม และทำให้ระบบพลังงานไฮบริด เป็นที่นิยมมากขึ้น โดยใช้ พริอุส เป็นตัวหลัก และจากระบบพลังงานไฮบริดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับผลิตภัณฑ์รุ่นต่าง ๆ ในวงกว้าง ทำให้โตโยต้าตั้งเป้าหมายที่จะให้รถยนต์พลังงานไฮบริดของโตโยต้ามียอดขาย ทั่วโลกต่อปี มากกว่า 1 ล้านคัน ให้ได้ภายในปี 2010 โดยล่าสุด โตโยต้าได้เผยโฉม พริอุสรุ่นใหม่ ปลั๊ก-อิน ที่เจ้าของสามารถดึงปลั๊กจากตัวรถมาเสียบกับไฟที่บ้าน เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ ทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

        ฟอร์ด เป็นอีกค่ายรถยักษ์ใหญ่ของโลกที่สนใจการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ที่ประหยัด พลังงาน ทั้งรถไฮบริด จนถึงรถที่ใช้แก๊สโซฮอล์ อี 85 แต่ที่ใกล้ตัวบ้านเรา เห็นจะเป็นการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็กในตระกูล บี -คาร์ ซึ่งคาดว่าจะใช้ชื่อ ฟอร์ด เฟียสต้า สำหรับการทำตลาดทั่วโลก โดยไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตป้อนภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ฟอร์ด เฟียสต้า มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ เบนซิน ที่ใช้อี 20 และเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.4 ลิตร และ 1.6 ลิตร มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ และเมื่อเร็วๆนี้ ผู้บริหารระดับสูงของฟอร์ดระบุว่า หากรัฐบาลไทยมีนโยบายด้านแก๊สโซฮอล์ อี 85 อย่างชัดเจน ฟอร์ดก็พร้อมนำเทคโนโลยี อี 85 ใส่ให้กับเฟียสต้า ซึ่งจะเปิดตัวในปลายปี 2552 ซึ่งหากทำได้จริง การแข่งขันในตลาดรถยนต์คงสนุกไม่น้อย เมื่อเฟียสต้าจะได้ลดภาษีสำหรับอี 85 ทำให้มีราคาใกล้เคียงกับอีโคคาร์ที่จะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2553

        หากไม่อยากรอนาน วอลโว่ คาร์(ประเทศไทย) พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเป็นรถยนต์ วอลโว่ C30 โดยมีให้เลือก 2 รุ่นคือรุ่นเครื่องยนต์ 2.4i ที่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 ได้ โดยตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 2.349 ล้านบาท และรุ่นเครื่องยนต์ Flexifuel ขนาด 1.8 ลิตร ที่สามารถใช้น้ำมันไบโอเอทานอล อี 85 (ใช้เอทานอล 85% และเบนซิน 15%) และมีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ล่าสุด วอลโว่ ยังได้นำ วอลโว่ ซี 30 รีชาร์จ คอนเซ็ปต์ ต้นแบบรถระบบไมโคร-ไฮบริดล่าสุดที่ใช้ได้ทั้งไฟฟ้าน้ำมันไบโอเอทานอล มาโชว์เป็นไฮไลต์พิเศษของงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ปี 2551 ด้วย

        ในยุโรป รถยนต์ซาบจากสวีเดน เป็นผู้นำในการผลิตรถเฟล็กซ์ฟิวหรือรถไบโอเอทานอล อี 85 โดยที่ผ่านมา มีการส่งมอบรถ ซาบ ไบโอเพาเวอร์ อี 85 ไปแล้ว 100,000 คัน ซึ่งเป็นมาจากความตื่นตัวในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพแทนน้ำมัน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลก ใครว่ารถที่ใช้เอทานอล กำลังเครื่องยนต์ลดลง ต้องลองรถซาบ ไบโอเพาเวอร์ เพราะทั้ง ซาบ 9-5 และซาบ 9-3 มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ อี85 เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้พละกำลังถึง 180 แรงม้า และแรงบิด 280 นิวตัน-เมตร จาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 8.5 วินาที ขณะที่เครื่องยนต์เบนซิน ทำได้แค่ 9.8 วินาที นอกจากนั้น ยังมีเครื่องยนต์ไบโอพาวเวอร์ ขนาด 2.3 ลิตร ที่ให้พละกำลังสูงสุด 210 แรงม้าและให้แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร จาก 0-100 กม./ชม.เพียง 7.9 วินาที

        กระแสความตื่นตัวเรื่องน้ำมันแพง ส่งให้ผู้ผลิตรถยนต์หันมาพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพที่ ประหยัดน้ำมันไปพร้อมๆกับการลดปล่อยมลพิษสู่อากาศ เพื่อรักษาโลกและสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น