ครม.เศรษฐกิจ' เล็งใช้ภาษีจูงใจติด 'เอ็นจีวี' นำร่องขาย 'อี 85' ในปั๊ม 50 แห่ง
ครม.เศรษฐกิจเล็งออกมาตรการประหยัดพลังงาน เน้นส่งเสริมให้ใช้ 'เอ็นจีวี' โดยใช้ภาษีจูงใจ สมองใสเล็งเสนอมาตรการบังคับประหยัดพลังงาน 'เลิกใส่สูท-คาร์พูล-ปาร์คแอนด์ไรด์' วอนโรงกลั่นเครือปตท.นำกำไรการกลั่น ช่วยเบาภาระประชาชน
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม สำนักข่าว 'เอพี' รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไลท์สวีตในตลาดเอเชียช่วงบ่ายปรับขึ้น 77 เซนต์ อยู่ที่ 132.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากราคาปิดที่ตลาดนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ 132.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ ยังมีสาเหตุมาจากเรื่องเดิม คือ ความกังวลว่าปริมาณน้ำมันจะตึงตัว โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะจีนสั่งซื้อน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเพื่อไป ผลิตกระแสไฟฟ้าหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว รวมทั้งความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ โดยสัปดาห์นี้นักลงทุนจับตาดูรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งเรื่องความมั่นใจของผู้บริโภค ยอดขายบ้าน โดยนักลงทุนประเมินว่าตัวเลขที่ออกมาน่าจะอ่อนแอ อันจะสร้างแรงกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนลงไปอีก
พล.ท. (หญิง) พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจวันเดียวกันนี้ กระทรวงพลังงานจะรายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน และมาตรการรับมือเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว ประกอบด้วยแผนการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ระยะยาวที่ปรับใหม่ ซึ่งบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะมีการลงทุนวางท่อเส้นใหม่ 3 เส้น มูลค่าลงทุน 34,850 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี (2552-2554) ประกอบด้วย 1.ภาคเหนือ วางจากอยุธยา-นครสวรรค์ ระยะทาง 172 กิโลเมตร (กม.) เงินลงทุน 8,600 ล้านบาท 2.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วางจากสระบุรี-นครราชสีมา ระยะทาง 152 กม. เงินลงทุน 7,600 ล้านบาท และ 3.ภาคใต้ วางจากราชบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 373 กม. เงินลงทุน 18,650 ล้านบาท พร้อมกับจัดหาและให้บริการเอ็นจีวีให้สามารถรองรับรถยนต์ให้ได้ 123,370 คัน ภายในสิ้นปี 2551 โดยจะเสนอของบประมาณมาสนับสนุนส่วนนี้ด้วย เนื่องจากมีการลงทุนค่อนข้างมาก
พล.ท.(หญิง)พูนภิรมย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ จะเสนอมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้มีการใช้เอ็นจีวี ประกอบด้วย ขยายเวลายกเว้นภาษีนำเข้าถังบรรจุก๊าซฯ และอุปกรณ์เอ็นจีวีให้เหลือ 0% ออกไปอีก 4 ปี หรือจนถึงปี 2555 และขยายเวลาปรับลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วน และอุปกรณ์ ซึ่งนำเข้ามาในลักษณะชิ้นส่วนสมบูรณ์ หรือซีเคดี (CKD) เพื่อประกอบและผลิตในประเทศ จาก 10% ให้เหลือ 0% ครอบคลุมรถบรรทุกและรถหัวลากด้วย รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สิน ประเภทเครื่องจักร อุปกรณ์วัสดุเอ็นจีวี โดยรวมค่าติดตั้งเป็นจำนวน 25% ของค่าใช้จ่าย และให้ขยายเวลาการยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์เอ็นจีออกไปอีก 3 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้
พล.ท.(หญิง)พูนภิรมย์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานยังจะเสนอมาตรการบังคับประหยัดพลังงาน โดยเริ่มจากหน่วยงานภาครัฐก่อน ทั้งการเลิกใส่สูท คาร์พูล จัดทำพาร์กแอนด์ไรด์ (Park & Ride) พร้อมจำกัดความเร็วรถไม่เกิน 90 กม.ต่อชั่วโมง เป็นต้น รวมถึงแผนรองรับการส่งเสริมการใช้น้ำมันอี 85 ซึ่งบริษัท ปตท.และบริษัทบางจาก จะนำร่องเปิดขายนำร่องในปั๊ม 30-50 แห่ง ภายใน 3-6 เดือนนี้ จากการหารือกับค่ายรถยนต์ทั้งยุโรปและญี่ปุ่นก็พร้อมนำเข้ารถยนต์เช่นกัน โดยเสนอให้มีการลดภาษีจูงใจให้คล้ายกับรถยนต์ อี 20
พล.ท.(หญิง)พูนภิรมย์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการช่วยเหลือระยะสั้นได้ขอความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมันในเครือ บริษัท ปตท.ทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วย ไทยออยล์, ไออาร์พีซี, บางจาก และพีทีทีเออาร์ ช่วยลดผลกระทบราคาน้ำมันดีเซลแพง ซึ่งทั้ง 4 แห่งก็ยินดีช่วยนำกำไรจากการกลั่นน้ำมันดีเซลให้ไม่เกิน 1 บาทต่อลิตรมาช่วย โดยจะสรุปรูปแบบของการช่วยเหลือภายในสัปดาห์นี้ว่า จะได้เงินเท่าใด และช่วยเหลือในลักษณะใด และจะขยายความร่วมมือกับโรงกลั่นของภาคเอกชนอีก 2 แห่งด้วย
นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ปัจจุบันทั้ง 4 โรงกลั่น มียอดขายดีเซลรวมกันอยู่ประมาณ 32 ล้านลิตรต่อวัน มาตรการช่วยเหลือดังกล่าวจะเป็นระยะสั้น 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมัน (ประมาณ 960 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 5-6 พันล้านบาท หากใช้ 6 เดือน) โดยเงินที่ได้จะนำมาเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือกองทุนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปใช้ในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากราคาดีเซล และส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ทั้งแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซลต่อไป เนื่องจากขณะนี้สถานะของกองทุนน้ำมันแม้จะเป็นบวก แต่ก็ไม่มากนัก โดยมีรายรับเป็นบวก 10-20 ล้านบาทต่อวัน
ด้านนางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว เจ้าของกิจการชิดชัยทัวร์ กล่าวถึงการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารร่วมร่วม บ.ข.ส. ว่า ได้ขอปรับขึ้น 9 สตางค์/กม. แต่กรมการขนส่งทางบกอนุมัติ 3 สตางค์/กม. ค่าธรรมเนียมก็ยังไม่พิจารณา ส่วนต่างที่เหลือผู้ประกอบการต้องรับภาระแทน ดังนั้น จะเรียกร้องให้ปรับอัตราค่าโดยสารขึ้นตามที่ขอไปให้ได้ ไม่เช่นนั้นผู้ประกอบการก็อยู่ไม่ได้แน่นอน เพราะแบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว ต้องหยุดวิ่งหรือลดเที่ยววิ่งลง
'ต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีสำหรับรถโดยสารที่วิ่งสายยาว หรือเกิน 300 กิโลเมตร จะมีปัญหาตามมา โดยเฉพาะหาปั๊มเติมก๊าซแทบไม่ได้ แต่การขึ้น 9 สตางค์/กม. ประชาชนไม่ได้เดือดร้อนหรอก มีแต่เราซึ่งที่ผ่านมาขาดทุนตลอด ทำให้ไม่มีทุนต่อรถใหม่ ต้องทนใช้รถที่มีอยู่เดิม แต่เราก็รับรองความปลอดภัย ไม่ต้องเป็นห่วง เจ๊เกียวมีคติประจำใจว่าค้าขายอยู่ได้ แต่ต้องไม่เอากำไรมาก ที่สำคัญต้องอย่าขาดทุน แค่นี้ทุกฝ่ายก็จะอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี' นางสุจินดา กล่าว
ต่อมา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังประชุมครม.เศรษฐกิจ ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการประหยัดพลังงาน โดยกระทรวงการคลังจะเข้าไปดูแลในเรื่องของอัตราภาษีสำหรับรถยนต์ที่จะใช้ อี 85 (เอธานอล 85%) โดยจะดูให้มีราคาเท่ากับหรือต่ำกว่า อี 20 โดยจะสรุปรายละเอียดเข้า ครม.ได้ในสัปดาห์หน้า และจะดูแลโครงสร้างภาษีรถยนต์ให้เป็นธรรมทั้งระบบ ทั้งอี 20 และอีโคคาร์
'คาด ว่าการขยายระยะเวลายกเว้นการจัดเก็บภาษีเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน ออกไปทั้งหมดในครั้งนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับการประหยัดการนำเข้าน้ำมัน ถือว่าคุ้มค่า โดยจะให้ อี 85 มีราคาต่ำกว่าน้ำมันเบนซินประมาณ 10 บาท/ลิตร คาดว่าเรื่องอี 85 จะเริ่มได้ภายใน 3-4 เดือนนับจากนี้' นพ.สรุพงษ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าว ถามว่า ถ้าทำตามมาตรการทั้งหมดจะทำให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้ 6% ตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า มาตรการที่ออกมาครั้งนี้จะเข้าตรงถึงกลุ่มผู้ยากจน ไม่ให้ค่าครองชีพเร่งตัวมากเกินไป และมาตรการที่ออกมาน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น อัตราเงินเฟ้อไม่เร่งตัวมาก และหากยังไม่เป็นผลก็ต้องมีมาตรการอื่นๆ ออกมาเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจปีนี้โตให้ได้ 6% หรือทำให้เศรษฐกิจกับเงินเฟ้อโตในอัตราที่ใกล้เคียงสมดุลกันที่สุด
เมื่อ ถามว่า จะดูแลราคาเอ็นจีวี ให้อยู่ที่ 8.50 บาท/กก.จนถึงเมื่อไหร่ นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ราคาเอ็นจีวีในปัจจุบันถือว่าต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เนื่องจากคำนวณจากราคาน้ำมันในอดีตที่ยังสูงไมไถึง 100 เหรียญฯ/บาร์เรล แต่เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบมากเกินไป ก็จะยืนราคาดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปีนี้ จากนั้นจะต้องมาดูราคาให้เหมาะสมอีกครั้ง โดยมองอยู่ที่ 12 บาท/กก.
Monday, May 26, 2008
'ครม.เศรษฐกิจ' เล็งใช้ภาษีจูงใจติด 'เอ็นจีวี' นำร่องขาย 'อี 85' ในปั๊ม 50 แห่ง NGV 12 B/Kg สิ้นปี Gasohol E85 ถูกกว่า 10 บาท
Wednesday, May 21, 2008
ดันใช้อี85แก้วิกฤติน้ำมัน ถูกกว่า 10 บาท ค่ายรถต่อรองให้ลดภาษี ต้นปี 2552อย่างช้า รถยนต์ที่ใช้อี 85 เข้ามาวิ่งในประเทศได้
อี 85 มาแล้วถูกกว่า 10 บาท + น้ำมันสูตรใหม่ได้เห็นแน่/ 'พูนภิรมย์' ดันเต็มที่ / ค่ายรถต่อรองให้ลดภาษี
กระทรวงพลังงานประกาศเร่งเดินหน้าผลิตน้ำมัน "อี85" รับมือวิกฤติน้ำมันที่แพง คาดต้นปีหน้าได้เห็นรถยนต์เติมอี 85 แน่ หลังหลายค่ายต่างยืนยันความพร้อมนำเข้ามาก่อนในปีแรก แนะรัฐต้องลดภาษีเพื่อจูงใจ ขณะที่"พูนภิรมย์"ดันเต็มที่บินดูงานที่บราซิล 8-15 มิ.ย.นี้ ด้านบางจากพร้อม ผลิตอี 85 ป้อนได้ทันที
ศาสตราจารย์ (ศ.) ดร.พิสุทธ์ ชลากรกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงมาตรการรับมือวิกฤติราคาน้ำมันว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังหามาตรการและแนวทางในการประหยัดพลังงาน เพื่อรับมือกับราคาน้ำมันที่จะมีการปรับสูงขึ้นไป โดยเฉพาะราคาน้ำมันเบนซินที่จะพุ่งไปกว่า 40 บาทต่อลิตร ซึ่งอาจจะเป็นมาตรการเพิ่มเติมหลังจากที่ได้มีการออก 11 มาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาชนไปแล้ว
สำหรับมาตรการใหม่นี้คงจะไม่มีการนำมาตรการบังคับมาใช้ แต่จะเป็นในเรื่องการขอความสมัครใจ และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อย่างกรณีของการขอความร่วมมือกับสมาคมป้ายและโฆษณาขนาดใหญ่ให้ปิดไฟฟ้าหลังเวลา 22.00 น.ไปแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาการปิดไฟฟ้าป้ายโฆษณาไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร เมื่อสถานการณ์ราคาน้ำมันเป็นเช่นนี้ ทางกระทรวงพลังงานจะไปขอความร่วมมือกับสมาคมป้ายและโฆษณาอีกครั้ง ซึ่งหากดำเนินการได้จะช่วยให้ประเทศลดการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าได้มาก
++ดันใช้อี85แก้วิกฤติน้ำมัน
นอกจากนี้ พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เห็นว่าการจะแก้ไขวิกฤติราคาน้ำมันได้ จำเป็นต้องมุ่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์แทนการใช้น้ำมันเบนซิน ที่จะผลักดันไปสู่การใช้แก๊สโซฮอล์ ที่มีเอทานอลผสมอยู่ในน้ำมันเบนซิน 85% หรืออี 85 ให้เร็วขึ้น
จากเดิมที่เคยกำหนดระยะเวลาว่าจะดำเนินการนำมาใช้ในปี 2555 แต่ด้วยสถานการณ์ราคาน้ำมันเป็นเช่นนี้ ทำให้มีการเร่งผลักดันเร็วกว่ากำหนด โดยประมาณต้นปี 2552อย่างช้า คาดว่าจะมีรถยนต์ที่ใช้อี 85 เข้ามาวิ่งในประเทศได้ เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการหารือกับบรรดาค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นแล้วว่าจะผลิตรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันเบนซินไปจนถึงแก๊สโซฮอล์ อี85 ได้ หรือประเภทรถยนต์เอฟเอฟวี ในขณะที่ค่ายรถยนต์ยุโรปจะมีการหารืออย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ ว่าจะมีความชัดเจนมากน้อยเพียงใด
++เตรียมหารือคลังลดภาษี
ศ.ดร.พิสุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ หลังจากที่ได้รับการตอบรับจากบรรดาค่ายรถยนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางกระทรวงพลังงานจะไปหารือกับทางกระทรวงการคลัง ว่าจะสามารถลดภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ลงมาได้เหมือนกับรถยนต์ที่ใช้อี 20 ที่มีราคาถูกกว่ารถยนต์ทั่วไป 5% ซึ่งหากกระทรวงการคลังตอบรับ ก็จะทำให้รถยนต์ที่ใช้อี 85 มีราคาถูกลง และเป็นสิ่งจูงใจให้ประชาชนจะหันไปใช้รถยนต์ประเภทนี้แทน ด้วยราคาน้ำมันที่ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 ที่ปัจจุบันมีส่วนต่างจากราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ถึง 6 บาทต่อลิตร เมื่อมีเอทานอลผสมในน้ำมันเบนซินสูงถึง 85 % ยอมทำให้ส่วนต่างของราคายิ่งสูงออกไปด้วย
++พูนภิรมย์บินดูงานบราซิล
โดยระหว่างวันที่ 8-15 มิถุนายน 2551 นี้ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเดินทางไปดูงานการใช้พลังงานทดแทนที่ประเทศบราซิล เนื่องจากเป็นประเทศต้นๆที่มีการใช้อี 85 กับรถยนต์ทุกประเภทได้ ซึ่งการไปครั้งนี้จะไปศึกษาประสบการณ์และบทเรียนของบราซิลในการนำพลังงานทดแทนมาใช้ และจะมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจที่จะให้มีการผลักดันการใช้อี 85 เร็วขึ้น เพราะการส่งเสริมให้มีการใช้แก๊สโซฮอล์ อี 20 ที่เพิ่งเริ่มต้นมาเมื่อต้นปีนี้ ถือว่าไม่เพียงพอกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เป็นอยู่เวลานี้แล้ว
++แจงค่ายรถตอบรับขอรัฐอุดหนุน
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานภายใน เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะผลักดันให้มีการใช้รถยนต์ อี85 ออกมาให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะการจัดทำรายละเอียดเพื่อไปหารือกับกระทรวงการคลังในการลดภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิต
เนื่องจากเวลานี้ได้รับการตอบรับเบื้องต้นจากบริษัทรถยนต์จากค่ายยุโรป 3 บริษัท ได้แก่ วอลโว่ จีเอ็ม และฟอร์ด ว่าพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายของกระทรวงพลังงานที่จะนำเข้ารถยนต์อี 85 เข้ามาทำตลาดในช่วงปีแรก เนื่องจากยังไม่สามารถทำการผลิตรถยนต์อี 85 ได้ภายในประเทศ แต่ทางรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนด้านภาษีให้ โดยต้องลดอากรนำเข้าจากเดิมที่เคยเสีย 80% ลงมาเหลือ 60% และภาษีสรรพสามิต จากเดิมที่ต้องจ่าย 30% ปรับลดลงมาเหลือ 20% เพื่อให้รถยนต์ที่นำเข้ามามีราคาใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้อี 20 หรือแพงกว่าเพียงเล็กน้อย
และในปีที่สองเมื่อบริษัทรถยนต์สามารถที่จะปรับขบวนการผลิตรถยนต์ได้แล้ว แต่ต้องมีการสั่งเข้าเครื่องยนต์ ในส่วนนี้ขอให้มีการลดภาษีการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ให้บ้าง เป็นต้นเพื่อนำไปสู่การผลิตรถยนต์อี 85 ในประเทศทั้งคันต่อไป
++ราคาขายถูกกว่า10 บาทต่อลิตร
นอกจากนี้ ยังได้สอบถามความเห็นของบริษัทน้ำมันว่าจะมีรายใดบางพร้อมที่จะจำหน่ายน้ำมันอี 85 ซึ่งทางบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ.) และ บมจ. บางจากปิโตรเลียม พร้อมที่จะจัดสถานีบริการอี 85 ให้ ส่วนราคาจำหน่ายอี 85 นั้น เนื่องจากมีส่วนผสมของเอทานอลอยู่ถึง 85 % คาดว่าจะมีส่วนต่างกับราคาของน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ไม่ต่ำกว่า 10 บาทต่อลิตร
ส่วนการออกสเปกน้ำมันอี 85 ได้มีการสั่งการให้กรมธุรกิจพลังงานไปเตรียมความพร้อมในการออกมาตรฐานคุณภาพน้ำมันอี 85 แล้ว ซึ่งในส่วนนี้จะใช้ระยะเวลาไม่นาน เพราะได้มีการศึกษาเตรียมการไว้ก่อนหน้านี้แล้ว หากรัฐบาลส่งเสริมการใช้อี 85 ออกมาเมื่อใดก็สามารถมีสเปกอี 85 ออกมารองรับได้ทันที
"การจะนำอี 85 มาใช้จะเร็วหรือช้านั้น ขั้นตอนส่วนใหญ่จะอยู่ที่การเจรจากับกระทรวงการคลังว่าจะสามารถลดภาษีศุลกากรกับภาษีสรรพสามิตให้ได้หรือไม่ ซึ่งหากไม่สามารถลดได้ จำเป็นต้องหาแนวทางอื่นๆ ว่าจะสามารถช่วยชดเชยบริษัทรถยนต์ได้อย่างไรบ้าง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานต้องการให้อี 85 เกิดขึ้นเร็ว เพราะเวลานี้ราคาน้ำมันแพงมาก ซึ่งหากเจรจากับกระทรวงการคลังได้เร็วเท่าใด ก็จะช่วยให้ อี 85 เกิดได้เร็วขึ้นภายในสิ้นปีนี้"แหล่งข่าวกล่าว
ที่สำคัญการมีอี 85 ออกมาจำหน่ายนั้น จะเป็นการช่วยลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันของประเทศลดลงได้อย่างมาก และจะช่วยให้การใช้เอทานอลที่ผลิตได้เองภายในประเทศถูกนำมาใช้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีเพียง 8 แสนลิตรต่อวัน ทั้งที่มีกำลังการผลิตได้ถึง 1.5 ล้านลิตรต่อวัน และเพิ่มขึ้นอีกในระยะอันใกล้นี้ ทำให้ปริมาณที่เหลือต้องส่งออกไปต่างประเทศ หากส่งเสริมการใช้อี 85 ได้ ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการเอทานอลสามารถอยู่ในธุรกิจอย่างยั่งยืนได้
++บางจากพร้อมผลิตอี85ป้อน
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านการตลาด บมจ.บางจากปิโตรเลียม เปิดเผยว่า สำหรับน้ำมันอี 85 นั้น เวลานี้ทางบมจ.บางจาก สามารถผลิตได้แล้วตามมาตรฐานของยุโรป และมีสถานีบริการรองรับที่จะสามารถนำมาจำหน่ายได้ทันที แต่เวลานี้ต้องรอดูนโยบายของกระทรวงพลังงานว่าจะออกมาอย่างไร ซึ่งหากเร่งได้เร็วเมื่อใดจะเป็นผลดีกับประเทศ เพราะจะช่วยลดภาระการนำเข้าน้ำมันและแบ่งเบาภาระของประชาชนได้ทางหนึ่ง ซึ่งบมจ.บางจากพร้อมที่จะเป็นบริษัทนำร่องในการผลิตอี 85 เพียงแต่รอสเปกของกรมธุรกิจพลังงานประกาศออกมา ก็จะสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตได้ไม่มีปัญหา และพร้อมที่จะผลิตให้กับบมจ.ปตท.หรือบริษัทอื่นๆ หากมีความต้องการนำอี 85 ไปจำหน่าย
ศ.ดร.พิสุทธ์ กล่าวอีกครั้งว่า สำหรับการที่จะรับมือวิกฤติราคาน้ำมันในช่วงนี้ ทางออกที่ดีต้องพึ่งการใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นหลัก เนื่องจากมีราคาถูกเพียง 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งผลจากราคาน้ำมันแพงเวลานี้ทำให้ประชาชนหันมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มมากขึ้น จะเห็นได้จากเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ว่าภายในปีนี้จะมีรถยนต์เอ็นจีวีสะสมอยู่ 88,265 คัน แต่สิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมามียอดติดตั้งแล้ว 72,950 คัน ซึ่งระยะเวลาที่เหลือว่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 120,000 คัน
โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ไปเร่งดำเนินการให้รถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีจำนวน 50,000 เปลี่ยนมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ หากดำเนินการได้ทั้งหมดยอดรถยนต์ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีจะเพิ่มสูงกว่า 120,000 คันอย่างแน่นอน แต่หากไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ คาดว่าอย่างน้อยจะมีรถแท็กซี่ที่จะมาเปลี่ยนเป็นก๊าซเอ็นจีวีภายในสิ้นปีนี้ไม่ต่ำกว่า 20,000 คัน
อย่างไรก็ตามทางกระทรวงมีความมั่นใจว่าการแก้ปัญหาการขาดแคลนก๊าซเอ็นจีวีและสถานีบริการเอ็นจีวีจะหมดไปภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพราะบมจ.ปตท.ได้ยืนยันมาแล้วว่าจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จ โดยสิ้นเดือนมิถุนายน 2551 นี้ จะมีปั๊มเอ็นจีวี 234 แห่ง จากปัจจุบัน 177 แห่ง และสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 355 แห่ง พร้อมมีรถขนส่งก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มขึ้นเป็น 526 คัน จากปัจจุบัน 389 คัน
++ค่ายรถแนะให้ลดภาษีเพื่อจูงใจ
นางฉันทนา วัฒนารมย์ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด บจก. วอลโว่คาร์(ประเทศไทย) กล่าวว่า หากกระทรวงพลังงานจะผลักดันการใช้อี 85 ให้เร็วขึ้น วอลโว่ก็พร้อมนำรถมาเปิดตัวรองรับได้ทันที เนื่องจากปัจจุบัน วอลโว่เป็นผู้นำในการผลิตรถพลังงานไบโอเอธานอล และเปิดจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้อี 85 แล้วในยุโรป ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับประเทศไทย วอลโว่คาร์ได้นำรถวอลโว่ ซี 30 ที่สามารถใช้แก๊สโซฮอล์ อี 85 มาจัดแสดงโชว์ให้เห็นเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกใหม่ให้กับผู้สนใจได้ชมตั้งแต่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 29 ที่ไบเทค บางนาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
"การที่ภาครัฐมีแนวคิดใช้อี 85 และจะผลักดันให้เป็นนโยบายที่ชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม จะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์หันมาพัฒนารถยนต์ประเภทนี้มากขึ้น ที่ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และใช้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้ในประเทศแทน อย่างไรก็ตาม การผลักดันใช้อี 85 จะต้องดำเนินการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การจัดสรรปลูกพืชพลังงาน วัตถุดิบ รวมถึงการผลิตเอทานอลให้เพียงพอกับความต้องการ นอกจากนี้ ควรจะมีมาตรการด้านภาษีสรรพสามิต เพื่อจูงใจให้ผู้สนใจซื้อรถอี 85 เหมือนอย่างที่ผลักดันให้คนซื้อรถ อี 20 ด้วยการลดภาษีจาก 30% เป็น 25%"
ด้านนายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการบริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย)จำกัด (บจก.) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทางบริษัทรถยนต์ได้มีการหารือกับกระทรวงพลังงานถึงเรื่องความพร้อมในการใช้แก๊สโซออล์ อี 85ซึ่งทางผู้ประกอบการเห็นว่า การก้าวจากอี 20 เป็น อี 85 จะต้องใช้เวลาในการพัฒนารถยนต์ไม่น้อยกว่า 4 ปี หรือเริ่มใช้จริงประมาณปี 2554-2555 แต่หากภาครัฐจะเร่งกำหนดการให้เร็วขึ้นอีก คงต้องมีการหารือกันอีกหลายครั้ง
อย่างไรก็ดี หากกระทรวงพลังงานต้องการเร่งกำหนดการให้เร็วขึ้น โดยการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป (CBU)ที่ใช้อี 85 ได้มาจำหน่ายแทนการประกอบขึ้นภายในประเทศ (CKD) ก็จะมียอดจำหน่ายไม่มากนักแค่ 1,000 คัน ซึ่งไม่คุ้มกับการเปิดสถานีบริการน้ำมันอี 85 แต่หากให้เวลาบริษัทรถยนต์พัฒนารถยนต์รุ่นใหม่และเริ่มผลิตขึ้นภายในประเทศแล้ว จะทำให้มียอดขายสูงมากคุ้มกับการลงทุนเปิดสถานีบริการน้ำมัน เหมือนอย่างที่ไทยประสบความสำเร็จในการผลิตรถยนต์อี 20 ออกมาเมื่อ1 มกราคม 2551 และได้การตอบรับจากผู้ใช้รถอย่างดีมาก
"ภาครัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตเพื่อจูงใจผู้ซื้อด้วย แต่จะเป็นอัตราเท่าไรนั้น ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้ "