กระทรวงอุตสาหกรรมจับมือกระทรวงพลังงาน กดดันกระทรวงการคลังลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน E 85 ลงมาอีก จาก 2.5795 บาท/ลิตร ให้เหลือ 0.55 บาท/ลิตร อ้างเพื่อจูงใจให้ค่ายรถ-ผู้บริโภค หันมาใช้รถ E 85 กันมากขึ้น ด้าน "สุวิทย์ คุณกิตติ" บอกกรมสรรพสามิตต้องยอมเฉือนรายได้รัฐออกไปบ้าง หาไม่แล้ว E 85 ก็ไม่เกิด
หลังจากที่ ครม.ได้มีมติให้ความเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้น้ำมันเบนซินที่ มีส่วนผสมของเอทานอลร้อยละ 85 หรือ E 85 ในวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ด้วยการ 1)ยกเว้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ E 85 ที่มีลักษณะเฉพาะเป็นอุปกรณ์หลักและไม่มีการผลิตในประเทศเป็นการชั่วคราว เป็นเวลา 3 ปี 2)ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ E 85 ลงเหลือร้อยละ 25, 30 และ 35 ตามขนาดเครื่องยนต์ คือ ไม่เกิน 2000 ซีซี มากกว่า 2000-2500 ซีซี และมากกว่า 2500-3000 ซีซี ตามลำดับ ซึ่งเท่ากับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ E 20 ในปัจจุบัน
และ 3)ลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน E 85 ลงเหลือ 2.5795 บาท/ลิตร จากที่จัดเก็บอยู่ 3.6850 บาท/ลิตร หรือลดลง 1.1055 บาท/ลิตร โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทผู้ค้าน้ำมันมองว่า มาตรการภาษีของกระทรวงการคลังข้างต้นยังไม่จูงใจทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ในการ ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ E 85 และขอให้กระทรวงการคลังให้การสนับสนุนและปรับลดอัตราภาษีลงมาอีก
ล่าสุด ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าในการหารือระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน E 85 ว่า การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงเหลือ 2.5795 บาท/ลิตรนั้น ยังไม่เกิดแรงจูงใจพอ ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมกับกระทรวงพลังงานจึงเสนอให้กระทรวงการคลังลดอัตราภาษี สรรพสามิตน้ำมัน E 85 ลงมาให้เหลือเพียง 0.55 บาท/ลิตร
"การปรับปรุงโครงสร้างของอัตราภาษีน้ำมันเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ในแง่มุมของกระทรวงการคลังในฐานะที่ทำหน้าที่จัดเก็บรายได้ให้รัฐบาล เห็นว่าหากมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตลงไปมากๆ เพื่อจูงใจให้คนหันไปใช้น้ำมัน E 85 ในอนาคตรัฐบาลจะจัดเก็บงบประมาณได้น้อยลง นอกจากนี้ยังต้องมองในเรื่องของความสิ้นเปลืองและค่าความร้อนด้วย เท่าที่ทราบรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน E 85 จะมีอัตราการบริโภคพลังงานมากกว่ารถที่ใช้น้ำมันเบนซินทั่วไป ดังนั้นการกำหนดอัตราภาษีที่อัตราลิตรละ 2.5795 บาทจึงคำนวณมาจากค่าประสิทธิภาพความร้อนที่ 70% ของอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่ลิตรละ 3.685 บาท" ร.ต.หญิงระนองรักษ์กล่าว
ด้านแหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิต เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ข้อเสนอให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน E 85 ที่ราคาลิตรละ 0.55 บาท ของกระทรวงพลังงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมนั้น เป็นการเรียกเก็บเฉพาะ "เนื้อเบนซิน" ร้อยละ 15 ในขณะที่เอทานอล ร้อยละ 85 ได้รับการ "ยกเว้น" ภาษีอยู่แล้ว แต่ในมุมมองของกรมสรรพสามิตเห็นว่า ทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมัน E 85 ก็คือ "สินค้าสำเร็จรูปประเภทหนึ่ง ไม่ได้คิดแยกส่วน"
และถ้าพิจารณาในแง่การสิ้นเปลืองพลังงานแล้ว รถที่ใช้ E 85 จะบริโภคน้ำมัน "มากกว่า" 30% ยกตัวอย่างเช่น รถที่ใช้น้ำมันเบนซินทั่วไปมีอัตราการสิ้นเปลืองที่ 10 KM/ลิตร แต่ถ้าเป็นรถที่ใช้ E 85 จะมีอัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ 7 KM/ลิตร เพราะฉะนั้นการกำหนดอัตราภาษีที่ลิตรละ 2.5795 บาท จึงคำนวณมาจากอัตราการบริโภคที่ 70%
ขณะที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวยืนยันกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า รัฐบาลควรจะส่งเสริมการใช้น้ำมัน E 85 ด้วยการจัดโครงการสร้างภาษีน้ำมันให้เหมือนกับน้ำมัน E 10 และ E 20 กล่าวคือ ต้องลดภาษีในส่วนที่เอทานอลผสมอยู่ ยกตัวอย่าง ถ้าน้ำมัน E 10 มีเอทานอลผสมอยู่ในเนื้อน้ำมันเบนซิน 10% ก็ได้ลดภาษี 10% หรือ E 20 มีเอทานอลผสมอยู่ในเนื้อน้ำมันเบนซิน 20% ก็ได้ลดภาษี 20% ในกรณีเดียวกัน ถ้าน้ำมัน E 85 มีเอทานอลผสมอยู่ในเนื้อน้ำมันเบนซิน 85% ก็ควรจะได้รับการยกเว้นภาษี 85% เช่นเดียวกัน
ในกรณีของการลดภาษีน้ำมัน E 85 แม้จะทำให้กระทรวงการคลังเหลืออัตราภาษีที่เก็บอยู่ 15% ก็ไม่ควรมองว่าจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้เพียงอย่างเดียว ต้องมองถึงผลประโยชน์ด้านอื่นที่เกิดขึ้นด้วย เช่น ทำให้ประเทศไทยสามารถลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศได้ ลดการสูญเสียเงินออกนอกประเทศและเงินที่อยู่ภายในประเทศก็เป็นส่วนที่จะลงไป ช่วยสนับสนุนเกษตรกร เศรษฐกิจรากหญ้า ให้มีความเข้มแข็ง เงินหมุนเข้ามาสู่ในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
"การจัดโครงสร้างภาษีข้างต้นถือว่ามีความเป็นธรรมและเป็นการผลักดันให้ น้ำมัน E 85 เกิดขึ้นได้ แม้รัฐบาลจะสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีไปบ้าง แต่ผลประโยชน์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นก็สามารถจะชดเชยกันได้ และบางทีอาจจะมากกว่ารายได้ที่สูญเสียด้วยซ้ำ" นายสุวิทย์กล่าว
นอกเหนือจากปัญหาเรื่องโครงสร้างภาษีแล้ว ในส่วนของน้ำมัน E 85 ยังมีปัญหาอื่นๆ ด้วย เช่น ค่าขนส่งเอทานอลที่จะส่งมาให้กับบริษัทน้ำมัน ซึ่งเป็นเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ควรจะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้ โรงงานผลิตเอทานอลสามารถซื้อน้ำมันเบนซินมาผสมกับเอทานอลกลายเป็นน้ำมัน E 85 จะสามารถประหยัดต้นทุนได้ หรือข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการของโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายเอทานอลภายในประเทศ หรือการส่งออกเอทานอลที่จะต้องมีการขออนุญาตทุกลอต ในอนาคตจะต้องมีการปรับปรุงให้มีความสะดวกมากขึ้น
มีรายงานข่าวจากกระทรวงการคลังแจ้งว่า กระทรวงการคลังจะนัดกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม มาหารือถึงข้อเสนอการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน E 85 อีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งการขยายรายการชิ้นส่วน/อุปกรณ์รถยนต์ E 85 ที่จะได้รับการ "ยกเว้น" ภาษีขาเข้าด้วย
No comments:
Post a Comment